ทำไมพ่อแม่ไม่ยอมให้ฉันไปเที่ยวสนุกบ้าง?
ลองนึกภาพ
คุณอยากไปงานเลี้ยง แต่คุณไม่แน่ใจว่าพ่อแม่จะยอมให้คุณไปไหม คุณจะทำอย่างไร?
1. ไม่ขอ แต่ไป
ทำไมคุณอาจเลือกแบบนี้ คุณอยากให้เพื่อนประทับใจว่าคุณมีอิสระแค่ไหน คุณคิดว่าคุณรู้ดีกว่าพ่อแม่ คุณไม่ค่อยเชื่อการตัดสินใจของพ่อแม่—สุภาษิต 15:5
ผลที่ตามมา เพื่อนอาจประทับใจ แต่พวกเขาจะเห็นว่าคุณเป็นคนหลอกลวง ถ้าคุณหลอกพ่อแม่ได้คุณก็หลอกเพื่อนได้เหมือนกัน ถ้าพ่อแม่รู้เข้าก็จะเสียใจที่ถูกหลอก และคุณอาจถูกห้ามไม่ให้ไปเที่ยวไหนอีก—สุภาษิต 12:15
2. ไม่ขอ และไม่ไป
ทำไมคุณอาจเลือกแบบนี้ คุณคิดถึงคำเชิญและตัดสินใจว่ากิจกรรมที่จะทำนั้นไม่ค่อยดีหรือคนบางคนที่ไปด้วยไม่น่าคบ (1 โครินท์ 15:33; ฟิลิปปอย 4:8) หรือคุณอาจอยากไปแต่ไม่กล้าขอพ่อแม่
ผลที่ตามมา ถ้าคุณไม่ไปเพราะรู้ว่าไม่เหมาะ คุณจะมั่นใจมากขึ้นเพราะคุณตอบเพื่อนได้ แต่ถ้าคุณไม่ไปเพราะไม่กล้าขอพ่อแม่ คุณอาจต้องนั่งเซ็งอยู่ที่บ้านและคิดว่ามีแต่คุณคนเดียวที่อดสนุก
3. ลองขอดู
ทำไมคุณอาจเลือกแบบนี้ คุณยอมรับอำนาจของพ่อแม่และเชื่อการตัดสินใจของพวกเขา (โกโลซาย 3:20) คุณรักพ่อแม่และไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจโดยแอบหนีเที่ยว (สุภาษิต 10:1) คุณยังมีโอกาสอธิบายให้พ่อแม่ด้วย
ผลที่ตามมา พ่อแม่จะรู้สึกว่าคุณรักและนับถือท่าน และถ้าพ่อแม่เห็นว่าเรื่องที่คุณขอมีเหตุผล พ่อแม่อาจยอมให้ไปก็ได้
เหตุผลที่พ่อแม่อาจไม่ยอมให้ไป
เหตุผลหนึ่งอาจยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้ดังนี้: ถ้าเลือกได้ คุณคงอยากว่ายน้ำในที่ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยใช่ไหม? ทำไมล่ะ? เพราะเมื่อคุณเล่นน้ำอย่างสนุกสนานคุณคงไม่ทันเห็นอันตราย แต่เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่ในที่สูงมองเห็นอันตรายได้ดีกว่า เช่นเดียวกัน พ่อแม่คุณมีความรู้และประสบการณ์มากกว่า ท่านจึงเห็นอันตรายที่คุณอาจไม่เห็น พ่อแม่ก็เหมือนเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยที่ชายหาดคืออยากช่วยคุณให้หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจทำลายชีวิตคุณ ไม่ใช่ทำให้คุณหมดสนุก
อีกเหตุผลหนึ่งคือ พ่อแม่อยากปกป้องคุณ ถ้ายอมได้พ่อแม่คงให้ตามที่คุณขอเพราะรักคุณ และถ้าพ่อแม่ไม่ให้แสดงว่ามันจำเป็นจริง ๆ เมื่อคุณขอ ท่านคงคิดก่อนว่าถ้าให้ตามที่คุณขอจะเกิดอะไรขึ้นเพื่อจะไม่ต้องเสียใจภายหลัง และพ่อแม่ก็จะอนุญาตเฉพาะเมื่อมั่นใจว่าคุณจะไม่ได้รับอันตราย
ทำอย่างไรจึงจะมีโอกาสมากขึ้นที่พ่อแม่จะอนุญาต
สิ่งที่คุณทำได้
ซื่อสัตย์: ให้ถามใจตัวเองว่า ‘จริง ๆ แล้วทำไมถึงอยากไป? เพราะฉันอยากทำกิจกรรมนั้นหรือตามเพื่อน? หรือเพราะมีคนที่ฉันชอบไปด้วย?’ แล้วให้บอกพ่อแม่ตามตรง พ่อแม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนและรู้จักคุณดี ดังนั้น พ่อแม่คงดูเจตนาคุณออกอยู่แล้ว ท่านคงชอบที่คุณพูดตรงไปตรงมาและจะให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับคุณ (สุภาษิต 7:1, 2) แต่ถ้าคุณไม่บอกตรง ๆ ท่านจะไม่ไว้ใจคุณและคงไม่อนุญาตให้คุณไป
เลือกเวลาที่เหมาะ: อย่าเซ้าซี้พ่อแม่ตอนที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานหรือกำลังวุ่นกับเรื่องอื่น ให้ขอตอนที่พ่อแม่ไม่ยุ่งมาก แต่อย่าคอยจนนาทีสุดท้ายแล้วพยายามคาดคั้นให้ตอบ พ่อแม่คงไม่ชอบที่ต้องรีบตัดสินใจ พยายามขอแต่เนิ่น ๆ ให้ท่านเวลาคิด
ให้ข้อมูลชัดเจน: อย่าตอบคลุมเครือ อธิบายให้ชัดเจนว่าคุณอยากทำอะไร พ่อแม่คงไม่อยากได้ยินคุณตอบว่า “หนูไม่รู้” โดยเฉพาะเมื่อถามว่า “มีใครไปบ้าง?” “จะมีผู้ใหญ่คอยดูแลไหม?” หรือ “จะกลับบ้านกี่โมง?”
ท่าที: อย่ามองว่าพ่อแม่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ให้มองว่าท่านอยู่ฝ่ายเดียวกับคุณ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้น ถ้าคุณมองว่าพ่อแม่อยู่ฝ่ายเดียวกับคุณ คุณจะไม่เถียงเพื่อเอาชนะและท่านคงยอมฟังคุณมากขึ้น
แสดงให้เห็นว่าคุณโตพอที่จะยอมรับและทำตามการตัดสินใจของพ่อแม่ ถ้าคุณทำอย่างนั้น พ่อแม่จะไว้ใจคุณ และคราวหน้าก็คงอยากจะอนุญาตให้คุณไป