เขียนโดยมาระโก 12:1-44
ข้อมูลสำหรับศึกษา
ตัวอย่างเปรียบเทียบ: คำกรีก พาราบอเล มีความหมายตรงตัวว่า “การวางไว้ข้าง ๆ (ด้วยกัน)” อาจเป็นเรื่องราวที่ให้คติสอนใจ สุภาษิต หรือตัวอย่างเปรียบเทียบก็ได้ พระเยซูมักอธิบายสิ่งหนึ่งโดย ‘วางสิ่งนั้นไว้ข้าง ๆ’ หรือเปรียบเทียบสิ่งนั้นกับอีกสิ่งหนึ่งที่คล้าย ๆ กัน (มก 4:30) ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูจะสั้นและมักเป็นเรื่องสมมุติซึ่งช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าและหลักศีลธรรมที่ถูกต้อง
หอคอย: ที่สูงที่ช่วยให้มองเห็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ปกป้องสวนองุ่นจากขโมยและสัตว์ได้—อสย 5:2
ให้คนมาเช่า: นี่เป็นเรื่องที่ชาวอิสราเอลทำกันเป็นปกติในสมัยศตวรรษแรก ในท้องเรื่องนี้เจ้าของสวนลงทุนเตรียมงานไว้เยอะแล้ว จึงยิ่งมีเหตุผลที่เขาจะคาดหมายส่วนแบ่งหรือผลตอบแทนจากคนเช่า
ตัวอย่างเปรียบเทียบ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 13:3
หอคอย: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 21:33
ให้คนมาเช่า: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 21:33
หินหัวมุมหลัก: หรือ “หินที่สำคัญที่สุด” คำฮีบรูที่ใช้ใน สด 118:22 และคำกรีกที่ใช้ในข้อนี้มีความหมายตามตัวอักษรว่า “หัวมุม” ถึงแม้มีความเข้าใจที่แตกต่างกันหลายอย่าง แต่ดูเหมือนคำนี้หมายถึงหินก้อนบนสุดที่อยู่หัวมุมของอาคารตรงจุดที่กำแพง 2 ด้านมาบรรจบกัน เป็นหินก้อนสำคัญที่เชื่อมกำแพง 2 ด้านเข้าด้วยกัน พระเยซูยกคำพยากรณ์ข้อนี้มาใช้กับตัวท่านที่เป็น “หินหัวมุมหลัก” เหมือนกับหินก้อนบนสุดของอาคารที่เห็นได้ชัดเจน พระเยซูคริสต์ก็เป็นผู้นำที่โดดเด่นของประชาคมคริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งเป็นเหมือนวิหารของพระเจ้า
พระคัมภีร์ข้อนี้: คำกรีก กราเฟ ในข้อนี้อยู่ในรูปเอกพจน์ซึ่งหมายถึงข้อความตอนหนึ่งของพระคัมภีร์คือ สด 118:22, 23
หินหัวมุมหลัก: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 21:42
พระยะโฮวา: ข้อความนี้ยกมาจาก สด 118:22, 23 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูมีชื่อของพระเจ้าเขียนด้วยอักษรฮีบรู 4 ตัว (ตรงกับเสียงอักษรไทย ยฮวฮ)
พรรคพวกของเฮโรด: ดูส่วนอธิบายศัพท์
ภาษี: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:17
ซีซาร์: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:17
ภาษี: แปลตรงตัวว่า “ภาษีรายหัว” คือภาษีประจำปี รัฐบาลโรมันเรียกเก็บภาษีแบบนี้จากทุกคนที่มีรายชื่อในทะเบียนสำมะโนครัว อาจเท่ากับ 1 เดนาริอัน หรือค่าจ้างสำหรับการทำงาน 1 วัน—ลก 2:1-3
ซีซาร์: หรือ “จักรพรรดิ” จักรพรรดิโรมันที่ปกครองช่วงที่พระเยซูทำงานรับใช้บนโลกคือทิเบริอัส แต่คำว่า “ซีซาร์” ไม่ได้หมายถึงจักรพรรดิที่ปกครองเท่านั้น คำนี้ยังหมายถึงรัฐบาลโรมันและตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งซึ่งเปาโลเรียกว่า “คนที่มีอำนาจปกครอง” และเปโตรเรียกว่า “กษัตริย์” และ “ผู้ว่าราชการ” ที่กษัตริย์ส่งมา—รม 13:1-7; 1ปต 2:13-17; ทต 3:1; ดูส่วนอธิบายศัพท์
เดนาริอัน: เหรียญเงินของโรมันมีรูปซีซาร์อยู่ด้านหนึ่ง เหรียญนี้ใช้จ่าย “ภาษี” ที่รัฐบาลโรมันเรียกเก็บจากชาวยิว (มก 12:14) คนงานในไร่นาสมัยพระเยซูจะได้รับค่าจ้าง 1 เดนาริอันสำหรับการทำงาน 1 วันที่ยาว 12 ชั่วโมง และในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกมักจะใช้เดนาริอันเป็นหลักในการคำนวนค่าเงินอื่น ๆ (มธ 20:2; มก 6:37; 14:5; วว 6:6) มีการใช้เหรียญทองแดงและเหรียญเงินหลายชนิดในอิสราเอล รวมทั้งเหรียญเงินที่ทำจากเมืองไทระซึ่งใช้จ่ายภาษีบำรุงวิหาร แต่เมื่อจ่ายภาษีต่าง ๆ ให้รัฐบาลโรมัน ดูเหมือนว่าผู้คนจะใช้เหรียญเงินเดนาริอันที่มีรูปซีซาร์—ดูส่วนอธิบายศัพท์ และภาคผนวก ข14
รูป . . . และชื่อ: ด้านหน้าของเหรียญเดนาริอันสมัยนั้นมีรูปจักรพรรดิโรมันทิเบริอัสสวมมงกุฎใบลอเรลซึ่งปกครองตั้งแต่ปี ค.ศ. 14 ถึง 37 และมีคำจารึกภาษาละตินว่า “ซีซาร์ทิเบริอัส ออกัสตัส โอรสแห่งเทพออกัสตัส”—ดูภาคผนวก ข14
รูป . . . และชื่อ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:20
ให้กับ: แปลตรงตัวว่า “คืนให้กับ” ซีซาร์เป็นคนทำเหรียญขึ้นมาเขาจึงมีสิทธิ์เรียกคืนเหรียญเหล่านี้บางส่วน แต่ซีซาร์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้ใครคนหนึ่งอุทิศชีวิตของเขาให้ซีซาร์ พระเจ้าเป็นผู้ให้มนุษย์มี “ชีวิต ลมหายใจ และทุกสิ่งทุกอย่าง” (กจ 17:25) ดังนั้น เขาต้อง “คืน” ชีวิตให้กับพระเจ้าและอุทิศชีวิตให้พระองค์เท่านั้น เพราะพระองค์ผู้เดียวมีสิทธิ์เรียกร้องการนมัสการจากเรา
อะไรที่เป็นของพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า: นี่รวมถึงการนมัสการพระเจ้าสุดหัวใจ รักพระองค์สุดชีวิต และเชื่อฟังอย่างครบถ้วนด้วยความภักดี—มธ 4:10; 22:37, 38; กจ 5:29; รม 14:8
ให้กับ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:21
อะไรที่เป็นของซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์: คำตอบของพระเยซูในข้อนี้และในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ มธ 22:21 กับ ลก 20:25 เป็นครั้งเดียวที่มีการบันทึกว่าพระเยซูพูดถึงจักรพรรดิโรมัน สำนวนที่ว่า “อะไรที่เป็นของซีซาร์” หมายถึงเงินที่จ่ายสำหรับบริการต่าง ๆ ที่ได้รับจากรัฐ และยังรวมถึงการให้เกียรติและยอมอยู่ใต้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเหมาะสม—รม 13:1-7
อะไรที่เป็นของพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:21
สะดูสี: นี่เป็นครั้งเดียวที่มีการพูดถึงพวกสะดูสีในหนังสือข่าวดีของมาระโก (ดูส่วนอธิบายศัพท์) ชื่อสะดูสี (คำกรีก ซาดดู่ไคออส) อาจเกี่ยวข้องกับศาโดก (มักสะกดว่า ซาดโดก ในฉบับเซปตัวจินต์) ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาปุโรหิตในสมัยโซโลมอน และดูเหมือนว่าลูกหลานของเขาทำหน้าที่ปุโรหิตต่อมาอีกหลายศตวรรษ—1พก 2:35
การฟื้นขึ้นจากตาย: คำกรีก อานาสทาซิส แปลตรงตัวว่า “ทำให้ลุกขึ้น, ยืนขึ้น” มีการใช้คำนี้ประมาณ 40 ครั้งในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกเพื่อพูดถึงการปลุกคนตายให้ฟื้น (มธ 22:23, 31; กจ 4:2; 24:15; 1คร 15:12, 13) ในฉบับเซปตัวจินต์ที่ อสย 26:19 ซึ่งมีข้อความว่า “คนของพวกเจ้าที่ตายแล้วจะมีชีวิตอีก” มีการใช้คำกริยา อานาสทาซิส เพื่อแปลคำกริยาฮีบรู “มีชีวิต”—ดูส่วนอธิบายศัพท์
คนที่สองจึงรับเธอมาเป็นภรรยา: ตามธรรมเนียมของชาวฮีบรูโบราณ ถ้าผู้ชายคนหนึ่งตายโดยไม่มีลูก มีการคาดหมายว่าพี่ชายหรือน้องชายของผู้ตายจะต้องรับภรรยาม่ายของเขามาเป็นภรรยาเพื่อจะมีลูกไว้สืบสกุลให้ผู้ที่ตายไป (ปฐก 38:8) ต่อมามีการรวมธรรมเนียมนี้ไว้ในกฎหมายของโมเสส (ฉธบ 25:5, 6) คำพูดของพวกสะดูสีในข้อนี้แสดงว่าการรับภรรยาม่ายของพี่ชายหรือน้องชายมาเป็นภรรยายังเป็นธรรมเนียมที่ทำกันในสมัยพระเยซู กฎหมายของโมเสสยอมให้ญาติปฏิเสธการแต่งงานแบบนี้ได้ แต่ถ้าผู้ชายคนไหนไม่ทำหน้าที่ของเขาเพื่อ “ให้พี่น้องของตัวเองมีลูกไว้สืบสกุล” เขาก็ทำให้ตัวเองอับอาย—ฉธบ 25:7-10; นรธ 4:7, 8
พระคัมภีร์: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:29
พระคัมภีร์: มักมีการใช้คำนี้เพื่อหมายถึงพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูทั้งหมดที่ได้รับการดลใจ
ในหนังสือของโมเสส: พวกสะดูสียอมรับว่าเฉพาะหนังสือที่โมเสสเขียนเท่านั้นที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมรับคำสอนของพระเยซูเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายเพราะอาจคิดว่าคำสอนนั้นไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเพนทาทุกซึ่งเป็นหนังสือที่โมเสสเขียน ที่จริง พระเยซูสามารถยกข้อคัมภีร์หลายข้อเพื่อพิสูจน์ว่าคนตายจะฟื้นขึ้นมาได้ เช่น อสย 26:19, ดนล 12:13 และ ฮชย 13:14 แต่เพราะพระเยซูรู้ว่าพวกสะดูสียอมรับข้อเขียนของโมเสส ท่านจึงยกคำพูดที่พระยะโฮวาพูดกับโมเสสมาพิสูจน์เรื่องนี้—อพย 3:2, 6
ที่พระเจ้าบอกโมเสสว่า: ในข้อนี้พระเยซูพูดถึงการพูดคุยกันระหว่างพระยะโฮวากับโมเสสซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 1514 ก่อน ค.ศ. (อพย 3:2, 6) ตอนนั้น อับราฮัมตายไปแล้ว 329 ปี อิสอัคตายไปแล้ว 224 ปี และยาโคบก็ตายไปแล้ว 197 ปี ถึงอย่างนั้น พระยะโฮวาก็ไม่ได้บอกว่า ‘เราเคยเป็นพระเจ้าของพวกเขา’ แต่บอกว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของพวกเขา’—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 12:27
แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น: ในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ ลก 20:38 พระเยซูยังพูดอีกว่า “เพราะพระองค์มองว่าพวกเขาทุกคนมีชีวิตอยู่” คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าก็เป็นเหมือนคนตายในสายตาพระองค์ (อฟ 2:1; 1ทธ 5:6) ในทางตรงกันข้าม คนที่รับใช้พระเจ้าและทำให้พระองค์พอใจ ถึงแม้เขาตายแล้วพระองค์ก็มองว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตายอย่างแน่นอน—รม 4:16, 17
แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น: ในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ ลก 20:38 พระเยซูยังพูดอีกว่า “เพราะพระองค์มองว่าพวกเขาทุกคนมีชีวิตอยู่” คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าก็เป็นเหมือนคนตายในสายตาพระองค์ (อฟ 2:1; 1ทธ 5:6) ในทางตรงกันข้าม คนที่รับใช้พระเจ้าและทำให้พระองค์พอใจ ถึงแม้เขาตายแล้วพระองค์ก็มองว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตายอย่างแน่นอน—รม 4:16, 17
ชาวอิสราเอล ฟังให้ดี: ทั้งมัทธิว มาระโก และลูกาต่างก็ยกคำพูดจาก ฉธบ 6:4, 5 แต่มาระโกยกข้อความมายาวกว่า และส่วนที่เพิ่มเข้ามามีข้อความเหมือนกับประโยคเริ่มต้นบทสวดยืนยันความเชื่อของชาวยิวที่เรียกว่าเชมา บทสวดนี้มาจาก ฉธบ 6:4-9; 11:13-21 คำว่า “เชมา” เป็นคำแรกของบทสวดนี้ในภาษาฮีบรูและมีความหมายว่า “ฟังให้ดี!”
พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น: ข้อความนี้ยกมาจาก ฉธบ 6:4 ในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู คำว่า “องค์เดียว” ในข้อนี้บอกให้รู้ว่าพระยะโฮวามีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครเหมือนกับพระองค์ พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ไม่มีพระเท็จองค์ไหนจะเทียบพระองค์ได้ (2ซม 7:22; สด 96:5; อสย 2:18-20) ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ โมเสสเตือนชาวอิสราเอลว่าพวกเขาต้องนมัสการพระยะโฮวาองค์เดียว พวกเขาต้องไม่ทำตามชนชาติรอบข้างที่นมัสการพระเท็จมากมาย ซึ่งพระเหล่านั้นอาจเป็นเทพเจ้าหรือเทพธิดาที่ควบคุมธรรมชาติบางอย่างได้ หรือเป็นพระที่มีหลายรูปลักษณ์ นอกจากนั้น คำฮีบรู “องค์เดียว” ยังบอกให้รู้ว่าพระยะโฮวาพระเจ้าเป็นแบบเดียวมาตลอดและไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราสามารถวางใจการกระทำและความประสงค์ของพระองค์ได้ พระองค์ซื่อสัตย์ เสมอต้นเสมอปลาย ภักดี และพูดความจริงเสมอ คำพูดที่บันทึกใน มก 12:28-34 เป็นข้อความที่มัทธิวก็บันทึกไว้ด้วย ซึ่งอยู่ใน มธ 22:34-40 แต่มาระโกเป็นคนเดียวที่ยกข้อความตอนต้นขึ้นมาที่ว่า “ชาวอิสราเอล ฟังให้ดี พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น” การมีคำสั่งให้รักพระยะโฮวาต่อจากประโยคนี้แสดงว่าผู้นมัสการพระยะโฮวาต้องรักพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นโดยไม่แบ่งใจให้พระอื่น
พระยะโฮวา . . . พระยะโฮวา: ข้อความนี้ยกมาจาก ฉธบ 6:4 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูมีชื่อของพระเจ้า 2 ครั้งที่เขียนด้วยอักษรฮีบรู 4 ตัว (ตรงกับเสียงอักษรไทย ยฮวฮ)
หัวใจ . . . ชีวิต . . . กำลัง . . . ความคิด: ในข้อนี้ผู้ชายที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสยกข้อความจาก ฉธบ 6:5 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูใช้คำ 3 คำคือ หัวใจ ชีวิต และกำลัง แต่ในบันทึกของลูกาซึ่งเขียนเป็นภาษากรีกผู้ชายคนนี้ใช้คำ 4 คำคือ หัวใจ ชีวิต กำลัง และความคิด คำตอบของผู้ชายคนนี้แสดงว่าในสมัยพระเยซูคนทั่วไปยอมรับว่าคำกรีก 4 คำนี้มีความหมายเท่ากับคำฮีบรู 3 คำในข้อความดั้งเดิม—สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 12:30
ความคิด: หมายถึงความสามารถในการใช้สติปัญญาและความคิด คนเราต้องใช้ความสามารถนี้เพื่อจะรู้จักและรักพระเจ้า (ยน 17:3; รม 12:1) ข้อความนี้ยกมาจาก ฉธบ 6:5 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูใช้ 3 คำคือ ‘หัวใจ, ชีวิต, กำลัง’ แต่บันทึกของมัทธิวในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกใช้คำว่า “ความคิด” แทน “กำลัง” ซึ่งอาจมีเหตุผลบางอย่าง เหตุผลแรก ในภาษาฮีบรูโบราณไม่มีคำเฉพาะสำหรับคำว่า “ความคิด” แต่แนวคิดของคำนี้แฝงอยู่ในคำฮีบรูที่แปลว่า “หัวใจ” และคำว่า “หัวใจ” เมื่อใช้ในความหมายเป็นนัยจะหมายถึงความคิด ความรู้สึก ทัศนะ และแรงกระตุ้นของคนเรา (ฉธบ 29:4; สด 26:2; 64:6 ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่าหัวใจในข้อนี้) ดังนั้น เมื่อข้อความฮีบรูใช้คำว่า “หัวใจ” ฉบับเซปตัวจินต์ ภาษากรีกก็มักจะแปลคำนี้โดยใช้คำว่า “ความคิด” (ปฐก 8:21; 17:17; สภษ 2:10; อสย 14:13) อีกเหตุผลหนึ่งที่มัทธิวใช้คำกรีก “ความคิด” แทนคำว่า “กำลัง” เมื่อยกข้อความจาก ฉธบ 6:5 อาจเป็นเพราะ คำฮีบรูที่แปลว่า “กำลัง” หมายถึงทั้งกำลังทางร่างกาย และยังหมายถึงความสามารถในการใช้สติปัญญาหรือความคิดได้ด้วย ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร การที่คำฮีบรูและกรีกมีความหมายคาบเกี่ยวกันแบบนี้อาจช่วยให้รู้ว่าทำไมตอนที่ยกข้อความจากเฉลยธรรมบัญญัติขึ้นมา ผู้เขียนหนังสือข่าวดีถึงไม่ใช้คำเดียวกับในข้อความภาษาฮีบรู—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 12:30; ลก 10:27
พระยะโฮวา: ข้อความนี้ยกมาจาก ฉธบ 6:5 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูมีชื่อของพระเจ้าเขียนด้วยอักษรฮีบรู 4 ตัว (ตรงกับเสียงอักษรไทย ยฮวฮ)
หัวใจ: เมื่อใช้ในความหมายเป็นนัย คำนี้มักหมายถึงตัวตนทั้งหมดของคนเรา แต่เมื่อใช้ด้วยกันกับคำว่า “ชีวิต” และ “ความคิด” คำนี้ดูเหมือนมีความหมายที่เจาะจงมากขึ้น คือหมายถึงอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเรา คำ 4 คำที่ใช้ในข้อนี้ (หัวใจ, ชีวิต, ความคิด, กำลัง) ไม่ได้มีความหมายแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่มีความหมายคาบเกี่ยวกัน การใช้ 4 คำนี้ด้วยกันเป็นการเน้นอย่างหนักแน่นที่สุดว่าคนเราต้องรักพระเจ้าอย่างเต็มที่และครบถ้วน—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่าความคิดและกำลังในข้อนี้
ความคิด: หมายถึงความสามารถในการใช้สติปัญญาและความคิด คนเราต้องใช้ความสามารถนี้เพื่อจะรู้จักและรักพระเจ้า (ยน 17:3; รม 12:1) ข้อความนี้ยกมาจาก ฉธบ 6:5 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูใช้ 3 คำคือ ‘หัวใจ, ชีวิต, กำลัง’ แต่บันทึกของมาระโกซึ่งเขียนเป็นภาษากรีกใช้ 4 คำคือ หัวใจ, ชีวิต, ความคิด, กำลัง การทำอย่างนี้อาจมีเหตุผลบางอย่าง เช่น คำว่า “ความคิด” อาจถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อจะถ่ายทอดความหมายคำ 3 คำในภาษาฮีบรูได้อย่างครบถ้วน ถึงแม้ในภาษาฮีบรูโบราณไม่มีคำเฉพาะสำหรับคำว่า “ความคิด” แต่แนวคิดของคำนี้มักจะแฝงอยู่ในคำฮีบรูที่แปลว่า “หัวใจ” และคำว่า “หัวใจ” เมื่อใช้ในความหมายเป็นนัยจะหมายถึงความคิด ความรู้สึก ทัศนะ และแรงกระตุ้นของคนเรา (ฉธบ 29:4; สด 26:2; 64:6; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่าหัวใจในข้อนี้) ดังนั้น เมื่อข้อความฮีบรูใช้คำว่า “หัวใจ” ฉบับเซปตัวจินต์ภาษากรีกก็มักจะแปลคำนี้โดยใช้คำว่า “ความคิด” (ปฐก 8:21; 17:17; สภษ 2:10; อสย 14:13) นอกจากนั้น การที่มาระโกใช้คำว่าความคิดอาจช่วยให้เห็นว่าคำฮีบรูที่แปลว่า “กำลัง” ก็มีความหมายคาบเกี่ยวกับคำกรีกที่แปลว่า “ความคิด” ด้วย (เทียบกับ มธ 22:37 ที่ใช้คำว่า “ความคิด” แทนคำว่า “กำลัง”) การที่คำฮีบรูและกรีกมีความหมายคาบเกี่ยวกันแบบนี้อาจช่วยให้รู้ว่าทำไมครูสอนศาสนาจึงพูดกับพระเยซูโดยใช้คำว่า “ความเข้าใจ” (มก 12:33, พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) และทำไมผู้เขียนหนังสือข่าวดีถึงไม่ใช้คำเดียวกับข้อความใน ฉธบ 6:5—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่ากำลังในข้อนี้ และข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:37; ลก 10:27
กำลัง: อย่างที่บอกในข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่าความคิด ข้อความนี้ยกมาจาก ฉธบ 6:5 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูใช้ 3 คำคือ ‘หัวใจ, ชีวิต, กำลัง’ คำฮีบรูที่แปลว่า “กำลัง” อาจหมายถึงทั้งกำลังทางร่างกายและหมายถึงความสามารถในการใช้สติปัญญาหรือความคิดด้วย นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมมาระโกเพิ่มคำว่า “ความคิด” เข้าไปตอนที่ยกข้อความจากเฉลยธรรมบัญญัติมาใส่ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก และอาจเป็นเหตุผลที่ มธ 22:37 ใช้คำว่า “ความคิด” แทนที่จะใช้คำว่า “กำลัง” เมื่อยกข้อความจากเฉลยธรรมบัญญัติ แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร ตอนที่ครูสอนศาสนา (ตามบันทึกในหนังสือลูกา [10:27] ซึ่งเขียนเป็นภาษากรีก) ยกข้อความฮีบรูเดียวกันนี้ขึ้นมา เขาใช้ 4 คำคือ หัวใจ, ชีวิต, กำลัง, ความคิด นี่อาจแสดงว่าในสมัยพระเยซูคนทั่วไปยอมรับว่าคำกรีก 4 คำนี้มีความหมายเท่ากับคำฮีบรู 3 คำในข้อความดั้งเดิม
คนอื่น: หรือ “เพื่อนบ้าน” คำกรีกนี้ (แปลตรงตัวว่า “คนที่อยู่ใกล้”) ไม่ได้หมายถึงคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกคนที่ติดต่อเกี่ยวข้องด้วย—ลก 10:29-37; รม 13:8-10; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 5:43
ข้อที่สอง: ที่ มก 12:29, 30 มีคำพูดของพระเยซูที่ตอบคำถามของครูสอนศาสนา แต่ในข้อนี้ท่านตอบมากกว่าที่เขาถามโดยพูดถึงกฎหมายข้อที่ 2 ด้วย (ลนต 19:18) ท่านเน้นว่า “กฎหมายสองข้อนี้” เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก และเป็นพื้นฐานของกฎหมายโมเสสทั้งหมดและเป็นพื้นฐานของสิ่งที่พวกผู้พยากรณ์สอน—มธ 22:40
คนอื่น: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 22:39
เครื่องบูชาเผา: คำกรีก ฮอลอเคาโทมา (มาจากคำ ฮอลอส แปลว่า “ทั้งหมด” และ ไคโอ แปลว่า “เผา”) มีแค่ 3 ครั้งในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คือในข้อนี้และที่ ฮบ 10:6, 8 พระคัมภีร์ฉบับเซปตัวจินต์ใช้คำกรีกนี้เพื่อแปลคำฮีบรูที่หมายถึงเครื่องบูชาสัตว์ที่ถูกเผาทั้งตัวเพื่อถวายให้พระเจ้า โดยไม่มีส่วนไหนที่ผู้นมัสการกิน คำกรีกนี้มีอยู่ในฉบับเซปตัวจินต์ที่ 1ซม 15:22 และ ฮชย 6:6 ครูสอนศาสนาอาจคิดถึงข้อคัมภีร์ 2 ข้อนี้ตอนที่พูดกับพระเยซู (มก 12:32) พระเยซูเป็นเหมือน “เครื่องบูชาเผา” เพราะท่านถวายตัวท่านทั้งหมดให้กับพระยะโฮวา
พระยะโฮวา: ข้อความนี้ยกมาจาก สด 110:1 ซึ่งในต้นฉบับภาษาฮีบรูมีชื่อของพระเจ้าเขียนด้วยอักษรฮีบรู 4 ตัว (ตรงกับเสียงอักษรไทย ยฮวฮ)
ที่สาธารณะ: หรือ “ตลาด” คำกรีก อากอรา ในข้อนี้หมายถึงลานที่ใช้เป็นศูนย์กลางการซื้อขาย และเป็นที่ชุมนุมของชาวเมืองในประเทศแถบตะวันออกกลางสมัยโบราณ และในดินแดนที่กรีกและโรมปกครอง
ที่สาธารณะ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 23:7
นั่งแถวหน้าสุด: หรือ “นั่งในที่นั่งที่ดีที่สุด” ดูเหมือนว่าหัวหน้าที่ประชุมของชาวยิวและแขกคนสำคัญจะนั่งใกล้กับม้วนหนังสือพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนมองเห็น ที่นั่งที่มีเกียรติแบบนี้อาจเป็นที่เฉพาะสำหรับคนสำคัญเหล่านี้
นั่งแถวหน้าสุด: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 23:6
วิหาร: หรือ “คลังศักดิ์สิทธิ์” คำนี้อาจหมายถึงบริเวณหนึ่งของวิหารที่มี “ตู้บริจาค” ตั้งอยู่ตามที่ ยน 8:20 บอกไว้ และบริเวณนี้น่าจะอยู่ในลานสำหรับผู้หญิง ซึ่งมีตู้บริจาคอยู่ 13 ตู้ (ดูภาคผนวก ข11) เชื่อกันว่าในวิหารยังมีบริเวณหนึ่งที่ใช้เก็บรวบรวมเงินทั้งหมดจากตู้บริจาคด้วย
ตู้บริจาค: แหล่งอ้างอิงของชาวยิวโบราณบอกว่าตู้บริจาคหรือที่ใส่เงินถวายนี้มีรูปร่างคล้ายแตรและมีช่องเล็ก ๆ ด้านบนให้หยอดเงินลงไป ผู้คนจะใส่เงินถวายสำหรับหลายอย่างลงไปในตู้นี้ ในบันทึกที่ ยน 8:20 ก็ใช้คำกรีกเดียวกันนี้เมื่อพูดถึงตู้บริจาคซึ่งดูเหมือนว่าตั้งอยู่ในลานสำหรับผู้หญิง (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 27:6 และภาคผนวก ข11) แหล่งอ้างอิงของพวกรับบีบอกว่า มีตู้บริจาค 13 ตู้ตั้งอยู่เป็นแถวตามผนังรอบลานนี้ เชื่อกันว่าในวิหารยังมีบริเวณหนึ่งที่ใช้เก็บรวบรวมเงินทั้งหมดจากตู้บริจาคเหล่านี้ด้วย
เงิน: แปลตรงตัวว่า “ทองแดง” คือเหรียญที่ทำจากทองแดง แต่คำกรีกนี้อาจใช้ในความหมายกว้าง ๆ หมายถึงเงินทุกชนิดด้วย—ดูภาคผนวก ข14
เหรียญเล็ก ๆ 2 เหรียญ: แปลตรงตัวว่า “2 เลฟตัน” คำกรีกเลฟตันเป็นรูปพหูพจน์ของคำว่า เล็พทอส หมายถึงสิ่งที่เล็กและบาง เลฟตันเป็นเหรียญซึ่งมีค่าเท่ากับ 1/128 ของ 1 เดนาริอัน และดูเหมือนว่าเป็นเหรียญทองแดงหรือทองสัมฤทธิ์ที่เล็กที่สุดซึ่งใช้ในอิสราเอล—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “เลฟตัน” และภาคผนวก ข14
ที่มีค่าน้อยมาก: แปลตรงตัวว่า “ซึ่งเท่ากับ 1 โคดรันเทส” คำกรีก คอดรานเทส (มาจากคำละติน quadrans) หมายถึงเหรียญของโรมันที่ทำจากทองแดงหรือทองสัมฤทธิ์ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1/64 ของ 1 เดนาริอัน ในข้อนี้มาระโกใช้เงินของโรมันเพื่ออธิบายค่าของเงินเหรียญที่ชาวยิวใช้กันทั่วไป—ดูภาคผนวก ข14
วีดีโอและรูปภาพ
ในอิสราเอลมีการเก็บองุ่นในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนขึ้นอยู่กับพันธุ์ขององุ่นและสภาพอากาศในเขตนั้น ปกติแล้วจะมีการเอาองุ่นที่เก็บได้มาใส่ในบ่อหินปูนหรือรางที่เกิดจากการสกัดหินเป็นร่อง คนที่ย่ำองุ่นมักจะใช้เท้าเปล่าย่ำองุ่นและร้องเพลงไปด้วย—อสย 16:10; ยรม 25:30; 48:33
1. องุ่นที่เก็บมาใหม่ ๆ
2. บ่อย่ำองุ่น
3. ช่องระบายน้ำองุ่น
4. อ่างพักน้ำองุ่นที่อยู่ต่ำลงไป
5. ไหดินเหนียวใส่เหล้าองุ่น
ทิเบริอัสเกิดในปี 42 ก่อน ค.ศ. เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 2 ของโรมในปี ค.ศ. 14 ทิเบริอัสตายในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 37 เขาเป็นจักรพรรดิตลอดช่วงที่พระเยซูทำงานรับใช้ ดังนั้น ตอนที่พระเยซูพูดถึงเหรียญที่ใช้เสียภาษีว่า “อะไรที่เป็นของซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์” ซีซาร์ที่พระเยซูพูดถึงก็คือทิเบริอัส—มก 12:14-17; มธ 22:17-21; ลก 20:22-25
ตลาดบางแห่งตั้งอยู่ริมถนนเหมือนในรูปนี้ พ่อค้าแม่ค้ามักจะเอาสินค้ามาวางริมถนนจนกีดขวางทางเดิน ชาวบ้านจะมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ถ้วยชามดินเผา และเครื่องแก้วราคาแพง รวมทั้งของสดต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากในสมัยนั้นไม่มีตู้เย็น ผู้คนจึงต้องไปซื้ออาหารที่ตลาดทุกวัน คนที่มาซื้อของที่ตลาดจะได้ยินข่าวต่าง ๆ จากพวกพ่อค้าหรือคนที่มาจากเมืองอื่น เด็ก ๆ จะเล่นกันที่นั่น คนที่ตกงานก็จะมารอคนจ้าง พระเยซูเคยรักษาคนป่วยและเปาโลก็เคยประกาศที่ตลาด (กจ 17:17) แต่พวกครูสอนศาสนาและฟาริสีที่เย่อหยิ่งชอบเป็นจุดสนใจและให้คนมาทักทายในที่สาธารณะแบบนี้
ในศตวรรษแรก ปกติแล้วผู้คนจะนั่งเอนตัวที่โต๊ะเพื่อกินอาหาร แต่ละคนจะเอาศอกซ้ายยันหมอนอิงไว้และกินอาหารโดยใช้มือขวา ตามธรรมเนียมของกรีกและโรมันห้องอาหารโดยทั่วไปจะมีเก้าอี้ยาว 3 ตัวตั้งอยู่รอบโต๊ะอาหารเตี้ย ๆ ชาวโรมันเรียกห้องอาหารแบบนี้ว่า ไตรคลิเนียม (คำละตินที่มาจากคำกรีกซึ่งมีความหมายว่า “ห้องที่มีเก้าอี้ยาว 3 ตัว”) แม้ตามปกติแล้วการตั้งเก้าอี้แบบนี้จะนั่งได้ 9 คน โดยนั่งตัวละ 3 คน แต่เพื่อจะรับรองคนได้มากขึ้นก็อาจใช้เก้าอี้ที่ยาวขึ้นได้ เชื่อกันว่าที่นั่งแต่ละที่ในห้องอาหารบ่งบอกถึงฐานะหรือเกียรติของคนคนนั้น เก้าอี้ยาวตัวหนึ่งสำหรับคนที่มีเกียรติน้อยที่สุด (ก) อีกตัวหนึ่งอยู่ตรงกลาง (ข) และอีกตัวไว้สำหรับคนที่มีเกียรติมากที่สุด (ค) ตำแหน่งที่นั่งบนเก้าอี้ยาวแต่ละตัวก็มีความสำคัญแตกต่างกันด้วย คนที่นั่งข้างซ้ายจะมีเกียรติมากกว่าคนที่นั่งข้างขวาของเขา แต่ถ้างานเลี้ยงนั้นเป็นงานเลี้ยงแบบเป็นทางการ เจ้าภาพมักจะนั่งอยู่ตรงที่นั่งแรก (หมายเลข 1) บนเก้าอี้ยาวที่มีเกียรติน้อยที่สุด ส่วนแขกที่สำคัญที่สุด (หมายเลข 2) จะได้นั่งติดกับเจ้าภาพบนเก้าอี้ยาวที่อยู่ตรงกลาง ถึงแม้เราไม่รู้แน่ชัดว่าชาวยิวเอาธรรมเนียมนี้ไปใช้มากขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าพระเยซูใช้ธรรมเนียมนี้เพื่อสอนสาวกเรื่องความถ่อม
แบบจำลองในวีดีโอนี้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อมูลส่วนหนึ่งจากซากปรักหักพังของที่ประชุมชาวยิวในศตวรรษแรกในเมืองกัมลา ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกาลิลีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 10 กม. ไม่มีที่ประชุมชาวยิวจากศตวรรษแรกที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์จนถึงทุกวันนี้ จึงไม่รู้แน่ชัดว่าที่ประชุมชาวยิวมีลักษณะอย่างไรจริง ๆ แบบจำลองนี้มีการใส่รายละเอียดที่น่าจะมีอยู่ในที่ประชุมหลายแห่งในสมัยนั้น
1. แถวหน้าสุดหรือที่นั่งที่ดีที่สุดในที่ประชุมอาจอยู่ใกล้หรืออยู่บนเวทีของผู้บรรยาย
2. เวทีที่ครูขึ้นไปอ่านกฎหมายของโมเสส ที่ตั้งเวทีในที่ประชุมแต่ละแห่งอาจแตกต่างกัน
3. ที่นั่งข้างผนังจะเป็นของคนสำคัญในชุมชน ส่วนคนอื่น ๆ อาจปูเสื่อนั่งบนพื้น ดูเหมือนที่ประชุมในกัมลามีที่นั่ง 4 แถว
4. หีบเก็บม้วนหนังสือศักดิ์สิทธิ์อาจอยู่ที่ผนังด้านหลัง
การจัดที่นั่งในที่ประชุมแบบนี้เตือนให้คนที่มาประชุมไม่ลืมว่าแต่ละคนมีฐานะตำแหน่งอย่างไรในสังคม ใครเป็นใหญ่กว่าใคร ซึ่งเป็นเรื่องที่สาวกของพระเยซูชอบเถียงกันบ่อย ๆ—มธ 18:1-4; 20:20, 21; มก 9:33, 34; ลก 9:46-48
แหล่งอ้างอิงของพวกรับบีบอกว่าในวิหารที่เฮโรดสร้างขึ้นมีตู้บริจาคซึ่งเรียกว่าโชฟาร์อยู่ 13 ตู้ คำฮีบรู โชฟาร์ แปลว่า “เขาแกะ” ทำให้รู้ว่าส่วนหนึ่งของตู้นี้อาจมีรูปร่างคล้ายเขาสัตว์หรือแตร ตอนที่พระเยซูตำหนิพวกที่ชอบโฆษณาความดีของตัวเองหรือเป่าแตรข้างหน้าตัวเองเวลาช่วยเหลือคนจน คนที่ได้ยินท่านพูดคงนึกถึงเสียงดังของเหรียญที่ถูกหยอดลงไปในตู้บริจาครูปร่างคล้ายแตรเหล่านี้ (มธ 6:2) เหรียญเล็ก ๆ 2 เหรียญที่แม่ม่ายหยอดลงไปคงไม่ทำให้เกิดเสียงดังเท่าไร แต่พระเยซูแสดงให้เห็นว่าแม่ม่ายคนนี้และเงินที่เธอบริจาคมีค่ามากในสายตาของพระยะโฮวา