เราเรียนอะไรได้จากผู้หญิงในคัมภีร์ไบเบิล?
คำตอบจากคัมภีร์ไบเบิล
คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องราวของผู้หญิงหลายคน ชีวิตของพวกเธอสอนบทเรียนหลายอย่างให้กับเรา (โรม 15:4; 2 ทิโมธี 3:16, 17) บทความนี้พูดถึงชีวิตของผู้หญิงบางคนในคัมภีร์ไบเบิลคร่าว ๆ หลายคนเป็นตัวอย่างที่น่าเลียนแบบ แต่บางคนเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม—1 โครินธ์ 10:11; ฮีบรู 6:12
ซาราห์
ซาราห์เป็นใคร? เธอเป็นภรรยาของอับราฮัม และมีลูกชายชื่ออิสอัค
เธอทำอะไร? ซาราห์ทิ้งชีวิตที่สะดวกสบายในเมืองเออร์ที่มั่งคั่ง เพราะเธอมีความเชื่อในคำสัญญาที่พระเจ้าบอกอับราฮัมสามีของเธอ พระเจ้าบอกอับราฮัมให้ออกจากเมืองเออร์แล้วเดินทางไปแผ่นดินคานาอัน พระองค์สัญญาว่าจะอวยพรเขาและทำให้เขากลายเป็นชาติใหญ่ (ปฐมกาล 12:1-5) ตอนนั้น ซาราห์อาจมีอายุ 60 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ซาราห์กับสามีของเธอก็ใช้ชีวิตเร่รอน อยู่ในเต็นท์
แม้ชีวิตที่เร่ร่อนจะทำให้ซาราห์ต้องเสี่ยงอันตราย แต่เธอก็สนับสนุนที่อับราฮัมทำตามคำแนะนำของพระเจ้า (ปฐมกาล 12:10, 15) ซาราห์เป็นหมันหลายปี นี่ทำให้เธอเสียใจมาก แต่พระเจ้าสัญญาว่าจะอวยพรลูกหลานของอับราฮัม (ปฐมกาล 12:7; 13:15; 15:18; 16:1, 2, 15) ในที่สุด พระเจ้ายืนยันว่าซาราห์จะมีลูกให้อับราฮัม เธอมีลูกในวัยที่ปกติแล้วไม่สามารถมีลูกได้ เธออายุ 90 ปี และสามีของเธอก็อายุ 100 ปีตอนที่มีลูก (ปฐมกาล 17:17; 21:2-5) พวกเขาตั้งชื่อลูกว่าอิสอัค
เราเรียนอะไรได้จากซาราห์? จากตัวอย่างของซาราห์ เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทำให้คำสัญญาของพระองค์เป็นจริงเสมอ แม้เรื่องนั้นดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ (ฮีบรู 11:11) นอกจากนั้น ตัวอย่างของเธอในฐานะภรรยาเน้นว่าการให้ความนับถือกันในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ—1 เปโตร 3:5, 6
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของซาราห์ได้ในบทความ “เธอเป็นคนสวยมาก” และ “พระเจ้าเรียกเธอว่า ‘เจ้าหญิง’”
เดโบราห์
เดโบราห์เป็นใคร? เธอเป็นผู้พยากรณ์หญิงของพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ใช้เธอให้บอกประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ต้องการให้พวกเขาทำ พระเจ้ายังใช้เธอให้ช่วยแก้ปัญหาให้กับชาวอิสราเอลด้วย—ผู้วินิจฉัย 4:4, 5
เธอทำอะไร? ผู้พยากรณ์หญิงเดโบราห์สนับสนุนผู้นมัสการพระยะโฮวาอย่างกล้าหาญ พระยะโฮวาบอกให้เธอเรียกบาราคมาเป็นผู้นำกองทัพของอิสราเอลเพื่อไปต่อสู้กับกองทัพชาวคานาอัน (ผู้วินิจฉัย 4:6, 7) เมื่อบาราคขอให้เดโบราห์ไปกับเขา เธอไม่กลัวและเต็มใจทำตามคำขอ—ผู้วินิจฉัย 4:8, 9
หลังจากที่พระเจ้าให้ชาวอิสราเอลได้ชัยชนะ เดโบราห์กับบาราคก็ร้องเพลงด้วยกัน ซึ่งส่วนหนึ่งของเพลงที่ร้อง เธอเป็นคนแต่งเอง เพลงนั้นพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพูดถึงยาเอล ผู้หญิงที่กล้าหาญอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการเอาชนะคานาอัน—ผู้วินิจฉัย บท 5
เราเรียนอะไรได้จากเดโบราห์? เดโบราห์เสียสละและกล้าหาญ เธอสนับสนุนคนอื่น ๆ ให้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระเจ้า และเมื่อพวกเขาทำอย่างนั้น เธอก็ชมเชยในสิ่งที่พวกเขาทำ
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของเดโบราห์ได้ในบทความ “ข้าพเจ้าเจริญขึ้นเป็นมารดาแห่งพวกยิศราเอล”
เดลิลาห์
เดลิลาห์เป็นใคร? เธอเป็นคนที่แซมสัน ผู้วินิจฉัยของชาวอิสราเอลหลงรัก—ผู้วินิจฉัย 16:4, 5
เธอทำอะไร? เธอรับเงินจากพวกเจ้านายชาวฟีลิสเตียเพื่อทรยศแซมสัน แซมสันเป็นคนที่พระเจ้าใช้เพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากชาวฟีลิสเตีย ชาวฟีลิสเตียไม่สามารถเอาชนะเขาได้เพราะเขามีพลังพิเศษจากพระเจ้า (ผู้วินิจฉัย 13:5) พวกเจ้านายก็เลยขอความช่วยเหลือจากเดลิลาห์
พวกเขาให้เงินเดลิลาห์เพื่อให้เธอหลอกถามแซมสันว่าพลังมหาศาลของเขามาจากไหน เดลิลาห์รับเงินและพยายามรบเร้าแซมสันหลายครั้ง ในที่สุด เธอก็ได้รู้ความลับของเขา (ผู้วินิจฉัย 16:15-17) เธอบอกความลับนั้นให้พวกเจ้านายชาวฟีลิสเตียรู้ พวกเขาจึงจับแซมสันได้และขังไว้ในคุก—ผู้วินิจฉัย 16:18-21
เราเรียนอะไรได้จากเดลิลาห์? เดลิลาห์เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม ความโลภอยากได้เงินทำให้เธอหลอกลวง ไม่ซื่อสัตย์ และแสดงความเห็นแก่ตัวต่อผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพระเจ้า
ภรรยาของโลท
ภรรยาของโลทเป็นใคร? คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าเธอชื่ออะไร แต่บอกว่าเธอมีลูกสาว 2 คน และเธอกับครอบครัวอยู่ในเมืองโสโดม—ปฐมกาล 19:1, 15
เธอทำอะไร? เธอไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า พระเจ้าตั้งใจจะทำลายเมืองโสโดมและเมืองใกล้เคียงเพราะคนเหล่านั้นทำผิดศีลธรรมทางเพศ แต่พระเจ้ารักโลทที่มีความชอบธรรมและครอบครัวของเขา พระองค์จึงส่งทูตสวรรค์มาปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัย—ปฐมกาล 18:20; 19:1, 12, 13
ทูตสวรรค์บอกครอบครัวของโลทให้หนีออกจากเมืองนี้ และอย่าหันกลับไปมอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตาย (ปฐมกาล 19:17) ภรรยาของโลท “หันกลับไปมอง เธอเลยกลายเป็นเสาเกลือ”—ปฐมกาล 19:26
เราเรียนอะไรได้จากภรรยาของโลท? เรื่องราวของเธอเน้นอันตรายของการรักวัตถุสิ่งของจนทำให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเยซูยกเรื่องของเธอมาเป็นตัวอย่างเตือนใจ ท่านบอกว่า “จำเรื่องภรรยาของโลทไว้ให้ดี”—ลูกา 17:32
มาร์ธา
มาร์ธาเป็นใคร? เธอเป็นพี่น้องกับลาซารัสและมารีย์ พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเบธานีใกล้กรุงเยรูซาเล็ม
เธอทำอะไร? เธอเป็นเพื่อนสนิทของพระเยซู ท่าน “รักมาร์ธากับมารีย์รวมทั้งลาซารัสด้วย” (ยอห์น 11:5) มาร์ธาเป็นผู้หญิงมีน้ำใจ ชอบต้อนรับแขก ครั้งหนึ่งเมื่อพระเยซูมาบ้านของเธอ มารีย์เลือกที่จะนั่งฟังพระเยซูพูด ส่วนมาร์ธายุ่งอยู่กับการทำงานบ้าน เธอบ่นกับพระเยซูว่ามารีย์ไม่ได้ช่วยเธอ พระเยซูเลยแก้ไขความคิดของมาร์ธาด้วยความกรุณา—ลูกา 10:38-42
ตอนที่ลาซารัสป่วย มาร์ธากับมารีย์ส่งคนไปบอกพระเยซูเพราะมั่นใจว่าท่านรักษาเขาได้ (ยอห์น 11:3, 21) แต่สุดท้ายลาซารัสก็ตาย สิ่งที่มาร์ธาพูดกับพระเยซูแสดงให้เห็นว่า เธอมั่นใจในคำสัญญาของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย และมั่นใจว่าพระเยซูสามารถทำให้น้องชายของเธอกลับมามีชีวิตอีกได้—ยอห์น 11:20-27
เราเรียนอะไรได้จากมาร์ธา? มาร์ธาพยายามต้อนรับแขกอย่างดี เธอเต็มใจยอมรับคำแนะนำ เธอพูดถึงความรู้สึกและความเชื่อของเธออย่างเปิดเผย
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของมาร์ธาได้ในบทความ “ข้าพเจ้าเชื่อ”
มารีย์ (พี่น้องของมาร์ธากับลาซารัส)
มารีย์เป็นใคร? เธอเป็นพี่สาวของลาซารัส และน้องสาวของมาร์ธา มารีย์เป็นเพื่อนสนิทของพระเยซู
เธอทำอะไร? มารีย์แสดงให้เห็นหลายครั้งว่าเธอมั่นใจว่าพระเยซูเป็นลูกชายของพระเจ้า เธอพูดด้วยความเชื่อว่าพระเยซูช่วยไม่ให้ลาซารัสน้องชายของเธอตายได้ และเธออยู่ด้วยตอนที่พระเยซูปลุกลาซารัสให้ฟื้นจากตาย มาร์ธาต่อว่าเธอที่มัวแต่ฟังพระเยซูพูดแทนที่จะมาช่วยทำงานบ้าน แต่พระเยซูชมเชยมารีย์ที่เธอให้ความจริงของพระเจ้าสำคัญกว่าสิ่งอื่น—ลูกา 10:38-42
อีกเหตุการณ์หนึ่ง มารีย์แสดงน้ำใจต่อพระเยซูเมื่อเธอเท “น้ำมันหอมราคาแพง” ลงบนหัวและเท้าของท่าน (มัทธิว 26:6, 7) คนอื่นที่อยู่ที่นั่นตำหนิเธอว่าทำให้เสียของ แต่พระเยซูปกป้องเธอ ท่านพูดว่า “ไม่ว่าข่าวดี [เรื่องรัฐบาลของพระเจ้า] จะประกาศไปที่ไหนในโลก สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำก็จะเล่าลือไปถึงที่นั่น และผู้คนจะจดจำเธอไว้”—มัทธิว 24:14; 26:8-13
เราเรียนอะไรได้จากมารีย์? มารีย์ปลูกฝังความเชื่อที่ลึกซึ้ง เธอให้การนมัสการพระเจ้ามาก่อนเรื่องอื่น ๆ เธออ่อนน้อมและยินดีสละเงินมากมายเพื่อให้เกียรติท่าน
มารีย์ (แม่พระเยซู)
มารีย์เป็นใคร? เธอเป็นสาวชาวยิวและยังบริสุทธิ์อยู่ตอนที่คลอดพระเยซู เธอตั้งท้องลูกชายของพระเจ้าด้วยการอัศจรรย์
เธอทำอะไร? มารีย์ทำตามความต้องการของพระเจ้าด้วยความถ่อม เธอหมั้นกับโยเซฟแล้วตอนที่ทูตสวรรค์มาหา และบอกว่าเธอจะตั้งท้อง และคลอดลูกชายที่จะมาเป็นเมสสิยาห์ที่ผู้คนรอคอยมานาน (ลูกา 1:26-33) เธอยินดียอมรับหน้าที่นี้ หลังจากที่คลอดพระเยซู มารีย์กับโยเซฟมีลูกชายด้วยกันอีก 4 คน และมีลูกสาวอย่างน้อย 2 คน เธอไม่ได้เป็นสาวบริสุทธิ์อีกต่อไป (มัทธิว 13:55, 56) แม้ว่าเธอได้รับสิทธิพิเศษที่ไม่เหมือนใคร แต่เธอก็ไม่เคยอยากได้คำสรรเสริญและการปฏิบัติแบบพิเศษ ไม่ว่าจะในช่วงที่พระเยซูรับใช้อยู่บนโลก หรือตอนที่เธอเป็นสมาชิกของประชาคมคริสเตียนยุคแรก
เราเรียนอะไรได้จากมารีย์? มารีย์เป็นหญิงที่ซื่อสัตย์ เธอเต็มใจทำงานสำคัญที่ได้รับมอบหมาย มารีย์มีความรู้ในพระคัมภีร์อย่างดี ดูเหมือนว่าเธอยกข้อคัมภีร์ประมาณ 20 ครั้งในคำพูดของเธอที่ลูกา 1:46-55
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของมารีย์ได้ในบทความ “ตัวอย่างของมาเรียสอนอะไรเรา?”
มารีย์มักดาลา
มารีย์มักดาลาเป็นใคร? เธอเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระเยซู
เธอทำอะไร? มารีย์มักดาลาเป็นหนึ่งในผู้หญิงหลายคนที่เดินทางร่วมกับพระเยซูกับพวกสาวก เธอแสดงน้ำใจโดยใช้เงินของเธอเพื่อช่วยให้สาวกมีสิ่งจำเป็น (ลูกา 8:1-3) เธอติดตามพระเยซูจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน และตอนที่พระเยซูถูกประหารชีวิต เธอก็อยู่ที่นั่น เธอเป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิพิเศษ ได้เห็นพระเยซูหลังจากท่านฟื้นขึ้นจากตาย—ยอห์น 20:11-18
เราเรียนอะไรได้จากมารีย์มักดาลา? มารีย์มักดาลาสนับสนุนงานรับใช้ของพระเยซูอย่างใจกว้าง และเธอเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ตลอดชีวิต
มิเรียม
มิเรียมเป็นใคร? เธอเป็นพี่สาวของโมเสสและอาโรน และเป็นคนแรกที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าผู้พยากรณ์หญิง
เธอทำอะไร? ในฐานะผู้พยากรณ์หญิง เธอมีหน้าที่บอกข่าวสารของพระเจ้าให้กับคนอื่น ๆ เธอยินดีรับหน้าที่สำคัญในอิสราเอล และร่วมร้องเพลงฉลองชัยชนะกับพวกผู้ชายหลังจากที่พระเจ้าทำลายกองทัพอียิปต์ในทะเลแดง—อพยพ 15:1, 20, 21
ต่อมา ความหยิ่งและอิจฉาทำให้มิเรียมกับอาโรนตำหนิโมเสส พระเจ้า “ได้ยินที่พวกเขาพูด” และต่อว่าพวกเขาอย่างแรง (กันดารวิถี 12:1-9) จากนั้น พระเจ้าทำให้มิเรียมเป็นโรคเรื้อนเพราะเธอเป็นคนเริ่มพูดในแง่ลบ โมเสสขอร้องพระเจ้าให้ช่วยเธอ พระองค์ก็ทำอย่างนั้น หลังจากถูกกักตัว 7 วัน มิเรียมก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาอยู่ในค่ายของชาวอิสราเอลอีกครั้ง—กันดารวิถี 12:10-15
คัมภีร์ไบเบิลทำให้เรารู้ว่ามิเรียมยอมฟังคำตักเตือน หลายร้อยปีต่อมา พระเจ้าพูดถึงสิทธิพิเศษที่มิเรียมได้รับตอนที่พระองค์เตือนชาวอิสราเอลว่า “เราส่งโมเสส อาโรน และมิเรียมมาพาเจ้าออกไป”—มีคาห์ 6:4
เราเรียนอะไรได้จากมิเรียม? เรื่องราวของมิเรียมทำให้เห็นว่า พระเจ้าสนใจสิ่งที่ผู้นมัสการของพระองค์พูดไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เรายังเรียนด้วยว่าเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอใจ เราต้องไม่เป็นคนหยิ่งและอิจฉา เพราะนิสัยแบบนี้อาจทำให้เราพูดบางอย่างที่ทำลายชื่อเสียงของคนอื่น
ยาเอล
ยาเอลเป็นใคร? เธอเป็นภรรยาของเฮเบอร์ ชายที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล ยาเอลสนับสนุนประชาชนของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ
เธอทำอะไร? ยาเอลลงมือทำโดยไม่ลังเลเมื่อสิเสรา แม่ทัพชาวคานาอันมาที่ค่ายพักของเธอ ตอนนั้นสิเสราแพ้สงครามกับชาวอิสราเอล และกำลังหาที่หลบซ่อน ยาเอลชวนเขามาในเต็นท์เพื่อซ่อนตัวและพักผ่อน แต่ตอนที่เขานอนหลับอยู่ เธอก็ฆ่าเขา—ผู้วินิจฉัย 4:17-21
การกระทำของยาเอลทำให้คำพยากรณ์ที่เดโบราห์บอกไว้เกิดขึ้นจริงที่ว่า “พระยะโฮวาจะมอบสิเสราไว้ในมือของผู้หญิงคนหนึ่ง” (ผู้วินิจฉัย 4:9) การกระทำของยาเอลครั้งนี้ ทำให้เธอเป็น “ผู้หญิงที่น่ายกย่องที่สุด”—ผู้วินิจฉัย 5:24
เราเรียนอะไรได้จากยาเอล? ยาเอลตัดสินใจลงมือทำด้วยตัวเอง และกล้าหาญ ประสบการณ์ของเธอแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าสามารถแทรกแซงเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อทำให้คำพยากรณ์เกิดขึ้นจริง
เยเซเบล
เยเซเบลเป็นใคร? เธอเป็นภรรยาของอาหับ กษัตริย์ชาติอิสราเอล เยเซเบลไม่ได้เป็นชาวอิสราเอลและไม่ได้นมัสการพระยะโฮวา เธอนมัสการบาอัลพระเจ้าของชาวคานาอัน
เธอทำอะไร? ราชินีเยเซเบลข่มเหงรังแกคนอื่น โหดเหี้ยม และใช้ความรุนแรง เธอส่งเสริมการนมัสการบาอัล และการทำผิดศีลธรรมทางเพศที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการนั้น ขณะเดียวกัน เธอพยายามกวาดล้างผู้นมัสการพระพระยะโฮวา พระเจ้าเที่ยงแท้—1 พงศ์กษัตริย์ 18:4, 13; 19:1-3
เยเซเบลโกหกและฆ่าคนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ (1 พงศ์กษัตริย์ 21:8-16) สุดท้าย เธอตายอย่างอนาถ และไม่ได้รับการฝังศพอย่างที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้า—1 พงศ์กษัตริย์ 21:23; 2 พงศ์กษัตริย์ 9:10, 32-37
เราเรียนอะไรได้จากเยเซเบล? เยเซเบลเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม เธอเป็นผู้หญิงไร้ศีลธรรมและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ชื่อของเธอกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงไร้ยางอาย ไม่มีศีลธรรม และไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะถูกหรือผิด
ราเชล
ราเชลเป็นใคร? เธอเป็นลูกสาวลาบัน และเป็นภรรยาที่ยาโคบบรรพบุรุษของชาวอิสราเอลรักมากที่สุด
เธอทำอะไร? ราเชลแต่งงานกับยาโคบและมีลูกชายกับเขา 2 คน ต่อมา ลูกชายสองคนของเธอเป็นส่วนหนึ่งของต้นตระกูลของชาติอิสราเอล ซึ่งมี 12 ตระกูล ราเชลเจอกับยาโคบตอนที่เธอดูแลฝูงแกะของพ่อ (ปฐมกาล 29:9, 10) เธอ “มีเสน่ห์” มากกว่าเมื่อเทียบกับเลอาห์พี่สาวของเธอ—ปฐมกาล 29:17
ยาโคบรักราเชลและยอมทำงาน 7 ปีเพื่อจะได้แต่งงานกับเธอ (ปฐมกาล 29:18) แต่ลาบันหลอกให้ยาโคบแต่งงานกับเลอาห์ก่อน จากนั้น ลาบันถึงอนุญาตให้ยาโคบแต่งงานกับราเชล—ปฐมกาล 29:25-27
ยาโคบรักราเชลและลูกชายทั้งสองของเธอมากกว่าเลอาห์และลูก ๆ (ปฐมกาล 37:3; 44:20, 27-29) นี่ทำให้พวกเธอแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน—ปฐมกาล 29:30; 30:1, 15
เราเรียนอะไรได้จากราเชล? ราเชลอดทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว เธอหวังเสมอว่าพระเจ้าจะฟังคำอธิษฐานของเธอ (ปฐมกาล 30:22-24) เรื่องราวของเธอทำให้เห็นว่าการมีภรรยาหลายคนทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข ประสบการณ์ของราเชลแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งมาตรฐานเรื่องชีวิตคู่ว่าให้ผู้ชายมีภรรยาคนเดียว—มัทธิว 19:4-6
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของราเชลได้ในบทความ “สตรีสองพี่น้องผู้มีทุกข์ซึ่งได้ ‘สร้างวงศ์ตระกูลอิสราเอล’”
▸ เพื่อจะรู้ว่าทำไมพระเจ้ายอมให้ประชาชนของพระองค์ในสมัยโบราณมีภรรยาหลายคน ดูบทความ “พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการมีภรรยาหลายคนไหม?”
ราหับ
ราหับเป็นใคร? เธอเป็นโสเภณี อาศัยอยู่ในเมืองเยรีโคแผ่นดินคานาอัน และกลายมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาพระเจ้า
เธอทำอะไร? ราหับซ่อนชาวอิสราเอล 2 คนที่มาสอดแนม เธอทำอย่างนั้นเพราะได้ยินเรื่องที่พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลปลดปล่อยประชาชนของพระองค์จากอียิปต์ และต่อมาก็ได้ยินเรื่องการโจมตีตระกูลหนึ่งที่เรียกว่าอาโมไรต์
ราหับช่วยเหลือคนสอดแนม และขอร้องพวกเขาให้ไว้ชีวิตเธอกับคนในครอบครัวตอนที่ชาวอิสราเอลมาทำลายเมืองเยรีโค พวกเขาตกลง แต่ราหับต้องทำบางอย่าง เธอจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เธอและครอบครัวจะต้องอยู่ในบ้านตอนที่ชาวอิสราเอลมาโจมตี และจะต้องผูกเชือกสีแดงเข้มไว้ที่หน้าต่างเพื่อให้รู้ว่าบ้านของเธออยู่ตรงไหน ราหับเชื่อฟังคำแนะนำทุกอย่าง เธอกับครอบครัวจึงรอดชีวิตเมื่อชาวอิสราเอลมาทำลายเมืองเยรีโค
ต่อมา ราหับแต่งงานกับชาวอิสราเอล และกลายเป็นต้นตระกูลของกษัตริย์ดาวิดและพระเยซูคริสต์—โยชูวา 2:1-24; 6:25; มัทธิว 1:5, 6, 16
เราเรียนอะไรได้จากราหับ? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าราหับเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องความเชื่อ (ฮีบรู 11:30, 31; ยากอบ 2:25) เรื่องราวของเธอทำให้เรารู้ว่าพระเจ้าให้อภัยการกระทำที่ไม่ดีในอดีต และพระองค์ไม่ลำเอียงโดยอวยพรทุกคนที่วางใจในพระองค์ไม่ว่าคนนั้นจะมาจากชาติไหน
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของราหับได้ในบทความ “พระเจ้าถือว่าเธอ ‘เป็นคนชอบธรรมเนื่องจากการกระทำ’”
รูธ
รูธเป็นใคร? เธอเป็นหญิงชาวโมอับที่ทิ้งพระเจ้าของเธอ และทิ้งบ้านเกิดเพื่อมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาในแผ่นดินอิสราเอล
เธอทำอะไร? รูธแสดงความรักต่อนาโอมีที่เป็นแม่สามี นาโอมีเดินทางไปโมอับพร้อมกับสามีและลูกชาย 2 คนเพราะตอนนั้นเกิดการขาดแคลนอาหารในอิสราเอล ลูกชายของเธอแต่งงานกับรูธและโอร์พาห์ผู้หญิงชาวโมอับ แต่ต่อมา สามีและลูกชายของเธอตาย ทำให้ทั้งสามต้องอยู่กันตามลำพัง
นาโอมีตัดสินใจเดินทางกลับไปอิสราเอล ซึ่งตอนนี้ไม่แห้งแล้งอีกแล้ว รูธและโอร์พาห์เลือกที่จะไปกับเธอ แต่นาโอมีบอกให้พวกเธอกลับไปหาญาติ ๆ โอร์พาห์ทำตาม (นางรูธ 1:1-6, 15) แต่รูธยืนยันว่าจะอยู่กับแม่สามี เธอรักนาโอมีและอยากนมัสการพระยะโฮวา พระเจ้าของนาโอมี—นางรูธ 1:16, 17; 2:11
เนื่องจากรูธภักดีกับแม่สามีและทำงานหนัก ไม่นานเธอก็มีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้านเบธเลเฮม โบอาสเจ้าของทุ่งนาที่ร่ำรวยประทับใจรูธ เขาช่วยเธอกับนาโอมีให้มีข้าวกิน (นางรูธ 2:5-7, 20) ต่อมา รูธแต่งงานกับโบอาส และในที่สุด กษัตริย์ดาวิดและพระเยซูเกิดมาเป็นลูกหลานของเธอ—มัทธิว 1:5, 6, 16
เราเรียนอะไรได้จากรูธ? ด้วยความรักที่มีต่อนาโอมีและพระยะโฮวา รูธเต็มใจทิ้งบ้านและครอบครัว เธอเป็นคนขยัน ทุ่มเท และภักดี แม้จะมีปัญหามากมายในชีวิต
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของรูธได้ในบทความ “แม่จะไปไหน, ฉันจะไปด้วย” และ “หญิงชื่อเสียงดี”
เรเบคาห์
เรเบคาห์เป็นใคร? เธอเป็นภรรยาของอิสอัค เธอมีลูกชายฝาแฝด 2 คนชื่อยาโคบกับเอซาว
เธอทำอะไร? เรเบคาห์ทำตามความต้องการของพระเจ้าแม้การทำอย่างนั้นจะไม่ง่าย ตอนที่เธอตักน้ำจากบ่อ มีผู้ชายคนหนึ่งมาขอน้ำดื่ม เรเบคาห์ก็รีบหาน้ำให้เขาและเสนอที่จะตักน้ำให้ฝูงอูฐของเขาด้วย (ปฐมกาล 24:15-20) ชายคนนั้นเป็นคนรับใช้ของอับราฮัม เขาเดินทางมาไกลเพื่อหาภรรยาให้อิสอัค ลูกชายของอับราฮัม (ปฐมกาล 24:2-4) คนรับใช้ของอับราฮัมอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยในเรื่องนี้ พอเขาเห็นความขยันขันแข็งและความมีน้ำใจต้อนรับแขกของเรเบคาห์ เขารู้เลยว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเขาแล้ว ผู้หญิงคนนี้แหละที่พระเจ้าเลือกให้เป็นภรรยาของอิสอัค—ปฐมกาล 24:10-14, 21, 27
เมื่อเรเบคาห์รู้เหตุผลที่คนรับใช้มา เธอยอมกลับไปกับเขาและแต่งงานกับอิสอัค (ปฐมกาล 24:57-59) ในที่สุด เรเบคาห์ก็คลอดลูกชายฝาแฝด พระเจ้าบอกเธอว่าเอซาวลูกชายคนโตจะรับใช้ยาโคบน้องชาย (ปฐมกาล 25:23) เมื่ออิสอัคเตรียมอวยพรเอซาวในฐานะลูกคนโต เรเบคาห์ทำบางอย่างเพื่อให้ยาโคบได้รับพรนั้นแทน เพราะเธออยากให้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า—ปฐมกาล 27:1-17
เราเรียนอะไรได้จากเรเบคาห์? เรเบคาห์เป็นคนเจียมตัว ขยันขันแข็ง และมีน้ำใจต้อนรับแขก คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้เธอประสบความสำเร็จในการเป็นภรรยา แม่ และผู้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของเรเบคาห์ได้ในบทความ ‘ฉันจะไปค่ะ’
เลอาห์
เลอาห์เป็นใคร? เธอเป็นภรรยาคนแรกของยาโคบผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า และราเชลน้องสาวคนเล็กของเธอก็เป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของยาโคบด้วย—ปฐมกาล 29:20-29
เธอทำอะไร? เลอาห์กับยาโคบมีลูกชายด้วยกัน 6 คน (นางรูธ 4:11) ตอนแรก ยาโคบตั้งใจจะแต่งงานกับราเชลไม่ใช่เลอาห์ แต่ลาบัน พ่อของเธอยกเลอาห์ให้แต่งงานกับเขาแทนที่จะเป็นราเชล เมื่อยาโคบรู้ว่าถูกหลอกให้แต่งงานกับเลอาห์ เขาก็เข้าไปคุยกับลาบัน ลาบันอ้างว่าที่นี่ไม่มีธรรมเนียมให้น้องแต่งงานก่อนพี่ สัปดาห์ต่อมา ยาโคบก็แต่งงานกับราเชล—ปฐมกาล 29:26-28
ยาโคบรักราเชลมากกว่าเลอาห์ (ปฐมกาล 29:30) นี่ทำให้เลอาห์อิจฉาที่น้องสาวได้รับความรักและความสนใจจากยาโคบ พระเจ้ารู้ว่าเลอาห์รู้สึกยังไง จึงอวยพรเธอโดยให้มีลูกชาย 6 คน และลูกสาว 1 คน—ปฐมกาล 29:31
เราเรียนอะไรได้จากเลอาห์? เลอาห์พึ่งพระเจ้าโดยการอธิษฐาน ถึงแม้จะมีปัญหาในครอบครัว แต่เธอก็ยังขอบคุณพระเจ้า (ปฐมกาล 29:32-35; 30:20) เรื่องราวชีวิตของเธอทำให้เห็นผลเสียของการมีภรรยาหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมให้เกิดขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง มาตรฐานการแต่งงานที่พระองค์ยอมรับคือให้สามีภรรยามีคู่สมรสเพียงคนเดียวเท่านั้น—มัทธิว 19:4-6
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของเลอาห์ได้ในบทความ “สตรีสองพี่น้องผู้มีทุกข์ซึ่งได้ ‘สร้างวงศ์ตระกูลอิสราเอล’”
▸ เพื่อจะรู้ว่าทำไมพระเจ้ายอมให้ประชาชนของพระองค์ในสมัยโบราณมีภรรยาหลายคน ดูบทความ “พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการมีภรรยาหลายคนไหม?”
สาวชาวชูเลม
สาวชาวชูเลมเป็นใคร? เธอเป็นสาวสวยที่อาศัยอยู่ในชนบท และเป็นตัวละครหลักในเพลงโซโลมอน ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล แต่ไม่มีบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลว่าเธอชื่ออะไร
เธอทำอะไร? สาวชาวชูเลมมีความรักที่มั่นคงต่อชายหนุ่มเลี้ยงแกะ (เพลงโซโลมอน 2:16) แต่ความสวยสะดุดตาของเธอทำให้กษัตริย์โซโลมอนผู้ร่ำรวยชอบและอยากเอาชนะใจเธอ (เพลงโซโลมอน 7:6) ถึงแม้คนอื่น ๆ จะบอกให้เธอเลือกโซโลมอน แต่เธอก็ปฏิเสธ เธอรักชายเลี้ยงแกะที่ต่ำต้อยและไม่เปลี่ยนใจไปจากเขา—เพลงโซโลมอน 3:5; 7:10; 8:6
เราเรียนอะไรได้จากสาวชาวชูเลม? เธอเป็นคนสวยและมีหลายคนมาสนใจ แต่เธอก็เจียมตัว แม้จะถูกกดดันหรือได้รับข้อเสนอว่าจะทำให้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่เธอก็ไม่เลิกรักชายเลี้ยงแกะ เธอควบคุมอารมณ์เสมอและรักษาความสะอาดด้านศีลธรรม
อาบีกายิล
อาบีกายิลเป็นใคร? เธอเป็นภรรยาของนาบาล ชายที่มีฐานะร่ำรวยแต่นิสัยก้าวร้าว อาบีกายิลเป็นคนฉลาดและถ่อมตัว เธอเป็นคนสวยและมีคุณลักษณะที่พระยะโฮวาพอใจ—1 ซามูเอล 25:3
เธอทำอะไร? อาบีกายิลทำสิ่งที่ฉลาดและสุขุมเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้าย เธอกับนาบาลอาศัยอยู่ในเขตที่ดาวิดหนีมาซ่อนตัวเพราะถูกไล่ล่า ดาวิดจะเป็นกษัตริย์คนต่อไปของชาติอิสราเอล ตอนที่ดาวิดและคนของเขาอยู่ที่นั่น พวกเขาปกป้องฝูงแกะของนาบาลจากพวกโจร แต่ตอนที่คนส่งข่าวของดาวิดมาขอแบ่งอาหารจากนาบาล นาบาลปฏิเสธและพูดดูถูกเหยียดหยาม ดาวิดโกรธมาก! เขาเลยยกพวกมาจะฆ่านาบาลและผู้ชายทุกคน—1 ซามูเอล 25:10-12, 22
พออาบีกายิลได้ยินว่าสามีทำอะไรลงไป เธอรีบแก้ไขทันที เธอบอกคนรับใช้ให้เตรียมอาหารและเอาไปให้ดาวิดกับคนของเขา เธอตามคนรับใช้ไปด้วยเพื่อขอความเมตตาจากดาวิด (1 ซามูเอล 25:14-19, 24-31) เมื่อดาวิดเห็นของที่เธอเอามา เห็นความถ่อม และได้ยินคำแนะนำที่ฉลาดของเธอ เขารู้ทันทีว่าพระเจ้าใช้เธอมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องร้าย (1 ซามูเอล 25:32, 33) หลังจากนั้นไม่นาน นาบาลก็ตายและอาบีกายิลได้กลายมาเป็นภรรยาของดาวิด—1 ซามูเอล 25:37-41
เราเรียนอะไรได้จากอาบีกายิล? ถึงแม้อาบีกายิลจะสวยและร่ำรวย แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองสำคัญ เธอพร้อมจะขอโทษแม้เธอไม่ได้ทำผิดอะไรเพื่อรักษาสันติสุข เธอรับมือกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างใจเย็น มีไหวพริบ กล้าหาญ และฉลาด
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของอาบีกายิลได้ในบทความ “นางลงมือทำอย่างสุขุมรอบคอบ”
เอวา
เอวาเป็นใคร? เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีชีวิตบนโลก และเป็นคนแรกที่คัมภีร์ไบเบิลพูดถึง
เธอทำอะไร? เอวาไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า เธอถูกสร้างให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเหมือนอาดัมสามีของเธอ เอวามีอิสระที่จะเลือกและสามารถพัฒนาคุณลักษณะแบบพระเจ้าได้ เช่น ความรักและสติปัญญา (ปฐมกาล 1:27) เอวารู้เรื่องที่พระเจ้าบอกอาดัมว่าถ้าพวกเขากินผลไม้จากต้นไม้ที่อยู่กลางสวน พวกเขาจะตาย แต่ซาตานหลอกเธอให้เชื่อว่าจะไม่ตาย ที่จริง เธอถูกหลอกว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าถ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้า เธอเลยกินผลไม้นั้น และชวนสามีกินด้วย—ปฐมกาล 3:1-6; 1 ทิโมธี 2:14
เราเรียนอะไรได้จากเอวา? เอวาเป็นตัวอย่างที่เราไม่ควรทำตาม เธอเอาแต่คิดถึงความต้องการแบบผิด ๆ ซึ่งนั่นนำไปสู่อันตราย เธอไม่เชื่อฟังคำสั่งที่ชัดเจนของพระเจ้า เธอปล่อยให้ความอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองมีมากขึ้นเรื่อย ๆ—ปฐมกาล 3:6; 1 ยอห์น 2:16
เอสเธอร์
เอสเธอร์เป็นใคร? เธอเป็นผู้หญิงชาวยิวที่กษัตริย์อาหะสุเอรัสแห่งเปอร์เซียเลือกมาเป็นราชินี
เธอทำอะไร? ราชินีเอสเธอร์ใช้อำนาจของเธอเพื่อปกป้องชาวยิวจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เธอได้มารู้ว่ามีการออกกฎหมายเลือกวันหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อฆ่าชาวยิวทั้งหมดในจักรวรรดิเปอร์เซีย แผนการชั่วนี้มาจากฮามาน นายกรัฐมนตรี (เอสเธอร์ 3:13-15; 4:1, 5) แต่เธอได้รับความช่วยเหลือจากโมร์เดคัยลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า และเธอก็ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดโปงแผนชั่วนี้ให้กษัตริย์อาหะสุเอรัสสามีของเธอรู้ (เอสเธอร์ 4:10-16; 7:1-10) กษัตริย์อาหะสุเอรัสอนุญาตให้เอสเธอร์กับโมร์เดคัยออกกฎหมายอีกข้อหนึ่งที่ให้ชาวยิวมีสิทธิ์ป้องกันตัวเอง ชาวยิวทั่วอาณาจักรจึงเอาชนะศัตรูของพวกเขาได้—เอสเธอร์ 8:5-11; 9:16, 17
เราเรียนอะไรได้จากเอสเธอร์? ราชินีเอสเธอร์เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องความกล้าหาญ ความถ่อม และเจียมตัว (สดุดี 31:24; ฟีลิปปี 2:3) แม้เธอจะสวยและมีตำแหน่งสูง แต่เธอก็ขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากคนอื่น เธอใช้ไหวพริบ แสดงความนับถือ และกล้าหาญเมื่อต้องพูดกับสามี และตอนที่ชีวิตของชาวยิวตกอยู่ในอันตราย เอสเธอร์กล้าเปิดเผยว่าตัวเธอเองก็เป็นชาวยิว
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของเอสเธอร์ได้ในบทความ “เธอเสี่ยงชีวิตปกป้องประชาชนของพระเจ้า” และ “เธอรอบคอบ กล้าหาญ และไม่เห็นแก่ตัว”
ฮันนาห์
ฮันนาห์เป็นใคร? เธอเป็นภรรยาของเอลคานาห์ และแม่ของซามูเอล ซามูเอลเป็นผู้พยากรณ์คนสำคัญของชาติอิสราเอลโบราณ—1 ซามูเอล 1:1, 2, 4-7
เธอทำอะไร? เนื่องจากฮันนาห์เป็นหมัน เธอจึงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า สามีของฮันนาห์มีภรรยา 2 คน อีกคนชื่อเปนินนาห์มีลูกหลายคน แต่ฮันนาห์ไม่มีลูกเลยแม้จะแต่งงานมาหลายปีแล้ว เปนินนาห์ชอบเยาะเย้ยเธอ ฮันนาห์อธิษฐานถึงพระเจ้าในเรื่องนี้ เธอสาบานกับพระเจ้าว่าจะยกลูกคนนี้ให้พระองค์ โดยให้เขารับใช้ที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเต็นท์เคลื่อนที่ ชาติอิสราเอลใช้เต็นท์นี้สำหรับนมัสการพระเจ้า—1 ซามูเอล 1:11
พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของฮันนาห์ เธอมีลูกชายชื่อซามูเอล ฮันนาห์รักษาสัญญาและให้ซามูเอลรับใช้ที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็ก ๆ (1 ซามูเอล 1:27, 28) เธอจะทำเสื้อไม่มีแขนและเอามาให้เขาทุกปี ไม่นานหลังจากนั้น พระยะโฮวาก็อวยพรฮันนาห์ให้มีลูกอีก 5 คน ลูกชาย 3 คนและลูกสาว 2 คน—1 ซามูเอล 2:18-21
เราเรียนอะไรได้จากฮันนาห์? การอธิษฐานจากใจช่วยฮันนาห์ให้อดทนกับปัญหาได้ คำอธิษฐานขอบคุณของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอมีความเชี่อในพระเจ้ามากจริง ๆ คำอธิษฐานนี้มีอยู่ใน 1 ซามูเอล 2:1-10
▸ อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของฮันนาห์ได้ในบทความ “นางระบายความในใจกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน”
▸ เพื่อจะรู้ว่าทำไมพระเจ้ายอมให้ประชาชนของพระองค์ในสมัยโบราณมีภรรยาหลายคน ดูบทความ “พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการมีภรรยาหลายคนไหม?”
ช่วงเวลาที่ผู้หญิงเหล่านี้มีชีวิตอยู่
น้ำท่วมโลก (2370 ก่อน ค.ศ.)
อพยพ (1513 ก่อน ค.ศ.)
กษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล (1117 ก่อน ค.ศ.)
พระเยซูรับบัพติศมา (ค.ศ. 29)
พระเยซูตาย (ค.ศ. 33)